วันที่ 23 มีนาคม 2434
มีการจัดกิจกรรมที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ และน่าตื่นตาตื่นใจเป็นที่สุด โดยเฉพาะในสายตาของคณะผู้มาเยือน
นั่นคือ การจัดพระราชพิธีคล้องช้าง เป็นพระราชพิธีคล้องช้างที่สมบูรณ์แบบที่สุด ยิ่งใหญ่ที่สุดในสมัยรัตนโกสินทร์
เพราะการคล้องช้างป่าต้องอาศัยความชำนาญเป็นอย่างมากและยังถือเป็นประเพณีเก่าแก่ที่ไม่ได้จัดขึ้นอย่างง่ายๆ ซาเรวิชเคยทอดพระเนตรการแสดงเช่นนี้มาแล้วที่ศรีลังกา แต่ที่นั่น มีช้างเพียง 9 เชือก ในขณะที่สยามมีช้างป่าเข้าร่วมถึงประมาณ 300 เชือก
ตามบันทึกของเจ้าชายอุคทอมสกี้เขียนไว้ว่า
“…วันนี้จะมีแสดงการคล้องช้างป่า ซึ่งจะมีช้างในการเข้าร่วมการแสดงนี้มากมายถึง 287 เชือก ช่างดูมากมายเสียจริง ที่คัดมานี้ถูกแยกออกมาแล้วจากโขลงขนาดมหึมาถึง 2,000 เชือก…ประชากรที่แห่แหนกันมาร่วมงานในวันนี้ช่างมืดฟ้ามัวดิน และมีจำนวนมากมายจนไม่อาจประมาณได้ ต่างรายล้อมเข้ามารอบๆ บริเวณรั้วที่ปักอยู่ด้วยหมุดหัวเสาขนาดใหญ่รอบบริเวณลานกว้าง…
…ในไม่ช้า ฝูงช้างป่าขนาดมหึมาก็วิ่งกรูกันเข้ามาในลาน เสียงจากฝีเท้าของมันกระแทกลงบนพื้นดินเสียงดังกึกก้องกัมปนาท…พวกช้างที่น่าสงสารดูคลุ้มคลั่งน่ากลัวเพราะมันไม่แน่ใจว่าจะถูกทำร้ายหรือไม่ พากันร้องด้วยความตื่นตกใจ และเบียดเสียดยัดเยียดอลหม่าน…
…การต้อนช้างป่าเข้ามาเช่นนี้ มิใช่เป็นการแสดงแบบไม่มีจุดหมาย แต่เป็นงานใหญ่ประจำปีที่เจ้าพนักงานประจำกรมคชบาล…จะคัดเลือกช้างที่มีลักษณะดีที่สุด คือ แข็งแรงสมบูรณ์ และกำยำล่ำสัน เพื่อนำมาใช้ในพระราชพิธีต่างๆ ของราชสำนัก และเพื่อสรรหาช้างที่งดงามและทะมัดทะแมงที่สุด เพื่อฝึกเป็นช้างทรงของพระเจ้าแผ่นดิน และพระบรมสานุวงศ์ต่อไป…
การคล้องช้างแบ่งออกเป็น 2 วัน ในวันแรกสามารถคล้องช้างงาใหญ่ที่อาละวาดอย่างหนักได้เพียงตัวเดียว ความที่เป็นช้างพลายตัวเดียวที่คล้องได้วันนั้น จึงได้ชื่อเรียกว่า “พลายซาเรวิช”
ในวันเดียวกันนี้ตอนกลางคืน ยังมีการจัดการประชุมเดือนหงาย หรือ Moonlight Party ตามราชกิจจานุเบกษา เล่ม 7 หน้า 475 อธิบายไว้ว่างานนี้จะจัดขึ้นที่ชาลาพระที่นั่งอุทยานภูมเสถียร
“…มีร้านเลี้ยงอาหารแลของดื่มต่างๆ แลบุหรี่หมาก ทั้งแจกพวงมาไลย์แลช่อดอกไม้ซึ่งทำอย่างประณีต 4 ร้าน ปลูกอย่างปรำ ผูกม่านตกแต่งงดงาม ผู้เชื้อเชิญดื่มสุราแลสูบบุหรี่กินหมาก ให้พวงมาไลแลช่อดอกไม้นั้น จัดหญิงซึ่งพูดอังกฤษได้ประจำทุกร้าน ร้านละสองคน…
…พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยซาร์วิตส์และพวกรัสเซียเจ้านายข้าราชการนั่งแลยืนกันใต้ต้นมะม่วงทอดพระเนตรแห่คบไฟ ซึ่งเดินรำแลขับร้องต่างๆ แลพลทหารเรือถือกิ่งไผ่ติดเทียนแลคนเป่าปี่ตีฉาบ สิงห์โตฬ่อแก้ว ผู้หญิงถือเทียน ลาวเป่าขลุ่ย คนถือพุ่มเทียน แลลครเรื่องรามเกียรติ์ชุดหนึ่ง รำถวายตัวแลมีทหารถือเทียนโคมบัวเปนที่สุด เวลา 5 ทุ่มเศษเสด็จขึ้น ซาร์วิตส์แลพวกรัสเซียเจ้านายข้าราชการยังนั่งแลเดินเล่นอยู่จน 7 ทุ่ม หมดการประชุม”
พรุ่งนี้มาดูสรุปกันว่า
ในบันทึกของเจ้าชายอุคทอมสกี้และรายงานของกงสุลใหญ่รัสเซียประจำสิงคโปร์ เขียนถึงการต้อนรับของสยามไว้ว่าอย่างไร และสยามมอบอะไรเป็นที่ระลึกให้ทางฝ่ายรัสเซียบ้าง