ในช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา (9 กันยายน) รัสเซีย มีการจัดงานใหญ่ เนื่องในโอกาสฉลองครบรอบ 870 ปี ของการก่อตั้งนครมอสโก โดยจะมีการจัดกิจกรรมต่างๆ มากมายในหลายๆ จุดของมอสโก

ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งได้เข้าร่วมในงานคอนเสิร์ตการกุศลที่จัดขึ้นเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครั้งนี้บริเวณจัตุรัสแดง ได้กล่าวถึงการเฉลิมฉลองครั้งนี้ รวมทั้งการก่อสร้างและปรับปรุ่งเมืองในหลายๆ ส่วน เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของชาวเมืองมอสโก

ปัจจุบัน มอสโกเป็นเมืองใหญ่ที่สุดในรัสเซีย และเป็นหนึ่งในเมืองหลวงที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ด้วยจำนวนประชากร 12 ล้านคน แต่กว่าจะมาถึงวันนี้ มอสโก ผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งดีและร้านมามากมาย

ลองมาย้อนเวลา ทำความรู้จักกับมอสโก เมืองหลวงเก่าและเมืองหลวงปัจจุบันของรัสเซียกันดีกว่า


“Come to me, Brother, to Moscow”

คือข้อความที่เจ้าชาย ยูริ โดลกอรูกี้ (Yuri Dolgorukiy) เขียนถึงเจ้าชายสวิยโตสลาฟ โอลกาวิช (Sviatoslav Olgovich) ผู้เป็นพระญาติและพันธมิตรในปี ค.ศ.1147 ซึ่งเป็นข้อความแรกที่มีการบันทึกถึงเมืองมอสโก

ต่อมาในปี ค.ศ. 1156 เจ้าชายยูริ ได้สร้างป้อมปราการจากไม้ในจุดที่เป็นพระราชวังเครมลินทุกวันนี้ จึงถูกยกให้เป็นเสมือนผู้ก่อตั้งมอสโก แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว บริเวณนี้จะมีผู้คนอาศัยมาอยู่ก่อนบ้างแล้วก็ตาม มอสโก เมื่อครั้งนั้น ยังเป็นเพียงเมืองเล็กๆ ก่อนที่ต่อมาจะเริ่มพัฒนากลายมาเป็นเมืองสำคัญทางการค้า

ในยุคของดมิทรี ดอนสกอย (Dmitry Donskoi) ได้มีการใช้หินปูนขาวในการสร้างกำแพง ทำให้มอสโกเคยมีชื่อรองว่าเมืองหินขาว (Belokamennaya)

กาลเวลาล่วงเลยไป หินปูนขาวเริ่มแตกร้าว สมัยพระเจ้าอีวานที่ 3 มหาราช จึงได้ปรับปรุงเครมลินอีกครั้ง โดยใช้สถาปนิกชาวอิตาเลียนเป็นผู้ควบคุมการสร้าง เครมลินรอบนี้ ใช้อิฐสีแดงในการสร้างกำแพง ซึ่งก็คือสีที่เราคุ้นตากับเครมลินในทุกวันนี้

จนถึงสมัยของซาร์อีวานที่ 4 ผู้โหดเหี้ยม พระองค์ได้ใช้ชื่อ “ซาร์” เพื่อเป็นการอ้างถึงคำว่า ซีซาร์ หรือจักพรรดิ และแสดงตัวว่าเป็นผู้สืบทอดอาณาจักรโรมที่ 3 ต่อจากกรุงคอนแสตนติโนเปิลที่ล่มสลายลงไป  ในสมัยของพระองค์มีการสร้างวิหารเซนต์บาซิล ซึ่งเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของรัสเซีย วิหารนี้สร้างขึ้นเพื่อฉลองการเอาชนะข่านแห่งคาซานและขยายอาณาเขตไปยังฝั่งตะวันออก

ในศตวรรษที่ 17 ช่วงยุคสมัยแห่งความวุ่นวาย มอสโกถูกยึดโดยพวกโปแลนด์ จนกระทั่งคุซมา มินินและ ตมิทรี โปซาร์สกี้ รวบรวมกำลังคนปลดปล่อยเมืองจากพวกโปแลนด์ได้ (อนุเสาวรีย์ของทั้ง 2 ท่าน อยู่ที่หน้าวิหารเซนต์บาซิล) หลังจากนั้น คือ การก้าวสู่อำนาจของ มิคาอิล โรมานอฟ ในปี 1613 อันเป็นจุดเริ่มต้นของราชวงศ์โรมานอฟ ในการปกครองรัสเซียมาอีกกว่า 300 ปี

พระเจ้าปีเตอร์มหาราช ได้ย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์กในปี 1712

ช่วงปี 1812 หลังการต่อสู้นับเดือน กองทัพฝรั่งเศสของนโปเลียนบุกเข้าสู่มอสโก ฝั่งรัสเซียตั้งใจทิ้งมอสโกไว้ และจุดไฟเผาเมือง ทำให้กองทัพของนโปเลียนต้องล่าถอยออกไป

เซนต์ปีเตอร์เบิร์กก็กลายเป็นเมืองหลวงของรัสเซียมาจนถึงปี 1918 บอลเชวิกจึงได้ย้ายเมืองหลวงมาอยู่ที่มอสโกอีกครั้ง

สังคมนิยม ไม่ต้องการศาสนา โบสถ์หลายแห่งถูกทำลาย รวมทั้งโบสถ์โดมทอง (Church of Christ the Savior) ที่ถูกระเบิด เพื่อจะนำพื้นที่บริเวณนั้น สร้างอาคารขนาดใหญ่สำหรับเป็นที่ทำการของรัฐ เมืองถูกปรับเปลี่ยน มีการสร้างและขยายถนน รวมทั้งระบบคมนาคมอย่างรถไฟใต้ดิน ตามแนวคิดของพวกบอลเชวิก

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พวกนาซี ได้บุกมาถึงชานเมืองของมอสโก ฝั่งกองทัพแดงของรัสเซียได้จัดกระบวนทัพ เดินพาเหรดจากจัตุรัสแดงไปสู่สนามรบ และสามารถรักษามอสโกไว้ได้

ในปี 1980 มอสโกได้เป็นเจ้าภาพในการจัดแข่งขันกีฬาโอลิมปิก และที่สำคัญ ในปีหน้า มอสโกกำลังจะเป็นเมืองที่ในการจัดแข่งขันฟุตบอลโลก ปี 2018 นัดชิงชนะเลิศอีกด้วย

ตลอดประวัติศาสตร์อันยาวนานของรัสเซีย เต็มไปด้วยเรื่องราวอันเข้มข้น มีหลายบุคคลที่มีบทบาทสำคัญในหน้าประวัติศาสตร์ และการรู้จักประวัติศาสตร์ของสถานที่ที่ไปเยือน จะเพิ่มอรรถรสของการเดินทางได้มากทีเดียว

วันที่

07-03-2018

หมวดหมู่

, ,

เรื่องโดย

@worldexplorer