สาธารณรัฐคิวบา เป็นประเทศเดียวในทวีปอเมริกาที่ปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ซึ่งได้ผ่านเหตุการณ์และมีบุคคลสำคัญที่เกี่ยวกับการเมืองการปกครองมากมาย
World Explorer ขอแนะนำให้ท่านรู้จัก 5 บุรุษแห่งคิวบา ที่มีส่วนทำให้ประเทศนี้กลายเป็นประเทศที่มีประวัติศาสตร์และเสน่ห์ที่ไม่เหมือนใคร
โฆเซ่ มาร์ตี (Jose Marti)
บิดาแห่งชาติผู้นำเอกราชมาสู่คิวบา Marti เกิดที่กรุงฮาวาน่า คิวบาแห่งสเปน ในครอบครัวตระกูลเชื้อสายสเปนฐานะไม่ได้ร่ำรวยอะไร ในวัยเยาว์ Marti เผยความสนใจด้านการเมืองแต่เด็กเมื่อครั้งที่ประธานาธิบดีลินคอล์นถูกลอบสังหาร เขากับเพื่อนๆ ก็พากันไว้อาลัยต่อลินคอล์นในฐานะผู้ปลดปล่อยทาสในสหรัฐ พยายามเข้าเรียนที่โรงเรียนวิชาการศิลปะวาดรูปและประติมากรรมแต่ไม่ประสบความสำเร็จด้านการเงินต่อมาได้เข้าเรียนที่โรงเรียน San Pablo ของ Mendive ผู้ที่ Marti ช่วยทำงานเป็นผู้จัดการแลกกับการเรียนต่อในระดับชั้นปริญญาที่นี่ และเขายังได้เขียนบทความ A Micaela. En la Muerte de Miguel Ángel ลงหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น El Album ของเมือง Guanabacoa อุทิศให้กับภริยาของ Mandive ผู้อุปถัมภ์การศึกษาของ Marti.
ประเทศลาตินอเมริกาส่วนใหญ่บนแผ่นดินใหญ่ เช่น เม็กซิโก เปรู ฯลฯ ได้รับเอกราชจากสเปนแล้ว แต่ยังเหลือคิวบาและดินแดนในทะเลแคริบเบียน Marti ได้เข้าร่วมการลุกฮือการต่อต้านสเปนจนกลายเป็นสงคราม 10 ปีนำโดยบรรดาเจ้าที่ดินและนักธุรกิจชาวคิวบา โดย Marti และเพื่อนสนิท Femin Dominguez เข้าร่วมโดยการแต่งบทกลอน บทกวีสนับสนุนเอกราช Marti ในวัย 16 ปีรับโทษจำคุก 6 ปีในข้อหากบฏจากจดหมายที่ Marti กับ Femin เขียนถึงเพื่อนสนิทที่ริจะเข้าร่วมกองทัพสเปน ต่อมา Marti ล้มป่วยด้วยอาการบาดเจ็บขาฉีกจากตรวนที่จองจำจึงถูกส่งไปที่เกาะ Isla de Pinos และเนรเทศไปยังสเปนและได้รับอนุญาติให้ศึกษาต่อโดยผู้ปกครองชาวสเปนคาดหวังว่าการศึกษาที่สเปนจะทำให้ Marti กลับมามีความภักดีต่อสเปนอีกครั้งหนึ่ง โดยเข้าศึกษาด้านนิติศาสตร์ที่ Central University of Madrid.
ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ ที่สเปน Marti ยิ่งได้มีโอกาสเรียนรู้เกี่ยวกับกฎหมายและการเมืองและไม่นานนัก Femin เพื่อนสนิทที่โดนจองจำในข้อหาเดียวกันก็ถูกเนรเทศมาสเปน ในที่สุดทั้งสองก็ได้กลับมาทำงานร่วมกันอีกครั้ง ในปี 1873 บทความ A mis Hermanos Muertos el 27 de Noviembre ของ Marti ที่เกี่ยวกับการกวาดล้างผู้ต่อต้านสเปนในคิวบาและทำให้ Femin เพื่อนสนิทต้องโดนจองจำและเทรเทศก็ได้รับการตีพิมพ์ในสเปน ที่สำคัญที่สุดคือเขาได้ชักแขวนธงชาติคิวบาขึ้นที่ระเบียงห้องตัวเองและส่งบทความ The Spanish Republic and the Cuban Revolution ไปให้นายกรัฐมนตรีสเปนเป็นการโจมตีนโยบายรัฐบาลใหม่ของสเปนต่อคิวบาในขณะนั้นว่าหลอกลวงและไม่ไยดีต่อเอกราชของคิวบา
เมื่อจบการศึกษา เขาได้เดินทางไปปารีส เม็กซิโก กัวเตมาลา สหรัฐอเมริกา เวเนซูเอลาและประเทศลาตินอเมริกาอื่นๆ โดยเฉพาะที่นิวยอร์ค Marti ได้รู้จักกับ Gonzalo de Quesada ผู้นำคนสำคัญในขบวนการเรียกร้องเอกราชคิวบา เพื่อรณรงค์เรื่องการเรียกร้องเอกราชของคิวบา Marti ได้เขียนบทความ บทกวีปลุกใจเป็นจำนวนมาก สร้างแรงบันดาลใจการเรียกร้องเอกราชให้กับบรรดาปัญญาชนอาณานิคมสเปนในทวีปอเมริกาโดยเฉพาะชุมชนชาวคิวบาต่าง ๆ ในทวีปอเมริกา Marti ได้เรียกร้องให้ร่วมกันลุกฮือต่อต้านสเปนและรวบรวมผู้สนับสนุนรวมไปถึงเตรียมการติดอาวุธ
24 กุมภาพันธ์ 1895 Marti ร่วมกับ Maximo Gomez อ่านแถลงการณ์ Exposition of the purposes and principles of the Cuban revolution และเริ่มต่อสู้ด้วยอาวุธกับทหารสเปน และ Marti ในชุดแจ็คเก็ตดำบนม้าสีขาวก็ถูกสังหารโดยทหารสเปนในสมรภูมิ Dos Rioz ปิดฉากชีวิตนักปฏิวัติชาตินิยมคิวบา การเสียชีวิตของ Marti โหมไฟการต่อต้านสเปนที่ดูเหมือนกำลังมอดดับให้กลับมาโหมกระหน่ำอีกครั้งจากชาวคิวบาทุกคน จนกระทั่งสหรัฐอเมริกาเข้ามาแทรกแซงและทำสงครามกับสเปนจนมีชัยชนะ ทำให้สเปนต้องถอนตัวออกจากอาณานิคมหลักที่เหลืออยู่คือ คิวบา เปอร์โตริโก และ ฟิลิปปินส์
ฟิเดล คาสโตร (Fidel Castro)
ผู้นำการปฏิวัติคิวบาและผู้นำประเทศครองอำนาจมากว่า 50 ปีและรอดพ้นการพยายามลอบสังหารจากสหรัฐมาได้ 638 ครั้ง บุรุษแมวเก้าชีวิตผู้นี้ชื่อเต็มคือ Fidel Alejandro Castro Ruz เกิดในครอบครัวเกษตรกรเจ้าของไร่อ้อยผู้ร่ำรวย บิดาเคยเป็นทหารผ่านศึกสงครามสเปน-อเมริกันอพยพมาจากสเปนก่อนมาทำไรอ้อย มารดาเป็นแม่บ้านมีพื้นเพเป็นชาวเกาะคานารี ดินแดนโพ้นทะเลของสเปนในแอฟริกา Fidel ในวัย 6 ขวบได้เข้าพิธีแบบติสและเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียน La Salle ใน Santiago และศึกษาต่อที่โรงเรียนคณะเยซูอิต Dolores และ El Colegio de Belen ที่กรุงฮาวานา ต่อมาได้เข้าศึกษาต่อด้านนิติศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยฮาวานา
ในปี 1945 Fidel เริ่มชีวิตนักศึกษาและเริ่มเข้าร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองโดยเฉพาะการต่อต้านอิทธิพลสหรัฐในภูมิภาคลาตินอเมริกา Fidel เข้าร่วมพรรค Orthodox ของ Eduardo Chibas นักวิพากษ์การเมืองที่มักแฉพฤติกรรมคอร์รัปชั่นของรัฐบาลโดยเฉพาะสมัยประธานาธิบดี Ramon Grau ที่ถึงขนาดจ้างนักศึกษาอันธพาลเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและ Fidel เองก็โดนคนกลุ่มนี้ขู่และพยายามเอาชีวิตมาหลายครั้ง Fidel จึงเริ่มพกอาวุธและจัดตั้งกลุ่มเพื่อนๆ ที่พกพาอาวุธเพื่อป้องกันตัว ในปี 1947 Fidel เดินทางไปร่วมขบวนต่อต้านรัฐบาล Dominican ที่สหรัฐหนุนหลัง ที่นี่เป็นเสมือนโรงเรียนฝึกการเคลื่อนไหวการปฏิวัติแห่งแรกของ Fidel
เมื่อจบการศึกษา Fidel ได้เริ่มเป็นนักกฎหมายเพื่อคนยากไร้แม้ต่อมาจะล้มเหลวด้านการเงิน หลังจากที่ Chibas นักวิพากษ์รัฐบาลชื่อดังกระทำอัตวินิบาตกรรม Fidel ในฐานะที่เป็นลูกหม้อกันมาก่อน Fidel มองตัวเองเป็นทายาททางการเมืองของ Chibas และ ลงสมัครรับเลือกตั้งแทน Chibas แทนในนามพรรค Orthodox และมีจุดยืนต่อต้านรัฐบาล Carlos Prio Socarras เช่นเดียวกับนายพล Fulgencio Batista ผู้ซึ่งต่อมาจะกลายมาเป็นโจทก์คนสำคัญของ Fidel ในเวลาต่อมา
ในปี 1952 นายพล Batista ทำการรัฐประหารล้มล้างรัฐบาลและการเลือกตั้งและจัดตั้ง “ระบอบประชาธิปไตยแบบมีวินัย” หันคิวบาเข้าหาสหรัฐอเมริกามากขึ้นและละทิ้งความสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียตที่นโยบายของรัฐบาลก่อนหน้านี้คือการพยายามทำให้ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติไม่เสียดุล Batista เริ่มใกล้ชิดกับบรรดานายทุนและมาเฟียอเมริกัน ออกกฎหมายเอื้อผลประโยชน์ให้ธุรกิจทั้งขาวและเทาสัญชาติอเมริกันต่าง ๆ นานา ในที่สุด Fidel ก็เริ่มติดอาวุธให้กับขบวนการต่อต้าน Batista และเริ่มโจมตีโรงทหาร Cascada ด้วยกำลังพล 165 คน ในวันที่ 26 กรกฎาคม 1953 แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้เป็นไปตามแผน ฝ่ายรัฐบาลสามารถควบคุมสถานการณ์ไว้ได้และ Fidel เองก็ถูกจับกุมพร้อม ๆ กับพลพรรคที่เหลือรอด 25 คน
ภายในเรือนจำ Fidel จัดตั้งโรงเรียนในเรือนจำขึ้นมา มีการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากงานเขียนของนักคิดนักเขียนชื่อดัง นอกจากงานเขียนของ Marx, Lenin และ Marti ยังมี Freud, Kant, Shakespeare, Munthe Maugham และ Dostoyevsky อีกทั้งยังคงสถานะการเป็นผู้นำขบวนการกลุ่ม ฯ อยู่เช่นเดิม ในช่วงนี้ Fidel ยังได้หย่าขาดกับ Mirta ภรรยาคนแรกหลังจากที่ได้ข่าวว่าเธอได้รับตำแหน่งงานในกระทรวงมหาดไทยขณะที่ Fidel ถูกจองจำอยู่ หลังจากที่สถานการณ์เริ่มสงบและ Batista สามารถควบคุมเสียงฝ่ายค้านได้ จึงได้มีการนิรโทษกรรมพลพรรคขบวนการ 26 กรกฎาคม
หลังการนิรโทษกรรม Fidel และ พรรคพวกรวมถึงน้องชาย Raul ลี้ภัยไปยังเม็กซิโกและดำเนินการการปฏิวัติต่อไป ที่นี่สองพี่น้อง Castro ได้พบและทำความรู้จักกับนายแพทย์ชาวอาร์เจนตินานามว่า Ernesto Che Guevara ผู้ที่จะกลายมาเป็นผู้นำสำคัญของขบวนการ 26 กรกฎาคม ในการปฏิวัติคิวบาและยังได้ศึกษาการทำสงครามจรยุทธ์กับAlberto Bayo อดีตนายผ่านศึกฝ่ายซ้ายในสงครามกลางเมืองสเปน เมื่อสถานการณ์สุขงอม Fidel จึงพาสมัครพรรคพวก 81 ราย ขึ้นซากเรือยอชต์ Granma และช่วยกันพายฝ่ายทะเลข้ามอ่าวเม็กซิโกระยะทางราว 2000 กม. มาจนถึงชายหาด Playa Las Coloradas ล่าช้ากว่ากำหนดเดิมไป 2 วันทำให้มาไม่ทันปฏิบัติการลุกฮือของ Frank Pais ที่เตรียมกรุยทางให้กับ Fidel ต้องล้มเหลว ในที่สุด Fidel และพวกก็มาถึงคิวบาและเริ่มจัดตั้งค่ายทหารกองโจร ณ เทือกเขา Sierra Maestra
ในป่า พลพรรคของ Fidel เริ่มออกปฏิบัติการต่อต้านรัฐบาลและเริ่มระดมผู้สนับสนุนเพิ่มซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ทุกข์ยากจากระบอบ Batista จากการโจมตีเล็กๆ ต่อทหารรัฐบาลเพื่อสะสมอาวุธและเสบียง อีกทั้งยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับชาวบ้านท้องถิ่นด้วยการเป็นผู้พิทักษ์ท้องที่นั้นด้วยการสังหารเจ้าที่ดินที่เป็นที่เกลียดชังของชาวบ้านในฐานที่ได้สังหารทหารกองโจรไป ในที่สุดกองโจรกลุ่มนี้ก็ได้คะแนนเสียงและสามารถสร้างการคุกคามแก่รัฐบาลได้มากขึ้นเรื่อยๆ ประกอบกับประชาคมโลกเริ่มต่อต้านการใช้อำนาจในทางที่มิชอบของ Batista ทั้งการเซ็นเซอร์สื่อ ทรมาน และการวิสามัญฆาตกรรม สหรัฐฯ เองก็เริ่มยุติการสนับสนุนอาวุธให้กับ Batista อีกทั้งฝ่ายต่อต้านรัฐบาลเริ่มประท้วงใหญ่และเข้าควบคุมสถานที่ราชการและรัฐวิสาหกิจไว้ได้ ฝ่ายขบวนการ 26 กรกฎาคมของ Fidel เองก็เริ่มใช้อาวุธโจมตีรัฐบาล
ในที่สุดในวันที่ 1 มกราคม 1959 ฝ่ายขบวนการ 26 กรกฎาคมก็เข้ายึด Santiago de Cuba และฝ่ายรัฐบาลทั้งหมดก็ยอมจำนนต่อฝ่ายปฏิวัติ ที่ทำการรัฐบาลตกเป็นของฝ่ายปฏิวัติ โดยก่อนหน้านี้เพียงวันเดียว Batista ก็ลี้ภัยออกนอกประเทศไปยังโดมินิกัน ก่อนที่ในอีก 8 วันต่อมาฝ่ายปฏิวัติจะยาตราทัพเข้าสู่กรุงฮาวานา ในระยะแรกได้มีการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะการและมีการดึงกลุ่มการเมืองเก่ามาร่วมเพื่อถ่ายโอนอำนาจจากรัฐบาลเก่ามาสู่รัฐบาลเฉพาะกาลใหม่ แต่ไม่นานก็เกิดความขัดแย้งกับฝ่าย Fidel เพราะ ประธานาธิบดี Manuel Urrutia กังวลว่าการปฏิวัติจะนำไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์จากการที่ Fidel แต่งตั้งบรรดา Marxist เป็นผู้บริหารในหน่วยงานองค์กรต่างๆ มวลชนผู้สนับสนุน Fidel ไม่พอใจทำให้ Urrutia ต้องลาออกหลีกทางให้ Osvaldo Dorticos ขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน ส่วน Fidel ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเริ่มเดินหน้านำคิวบามุ่งสู่สังคมนิยม
ผลงานหลักแรก ๆ คือทำทุกอย่างให้เป็นของรัฐ(Nationalization) การฟื้นฟูคิวบาในทุกๆด้าน อาทิ การศึกษา ให้มีการทำทุกโรงเรียนและสถานศึกษาเป็นของรัฐและปรับ ปรุงหลักสูตรการศึกษาโดยการบรรจุหลักสูตรการทำงานลงไปในหลักสูตรด้วย มีการทำให้สภานพยาบาลทุกแห่งเป็นของรัฐและอัดฉีดงบการฉีดวัคซีนป้องกันโรคร้ายในเด็กทำให้อัตราการตายของเด็กแรกเกิดลดฮวบฮาบอย่างน่าอัศจรรย์ อาคารบ้านกว่า 800 หลังถูกสร้างขึ้นเพื่อขจัดปัญหาคนไร้บ้าน ถนนหนทางกว่า 900 กม. ถูกสร้างขึ้นเพื่อนเชื่อมพื้นที่ต่างๆของคิวบาเข้าไว้ด้วยกัน ที่สำคัญมีเริ่มมีการยึดธุรกิจเอกชนของอเมริกันเข้ามาเป็นของรัฐทั้งธนาคาร โรงกลั่นน้ำมัน และอุตสาหกรรมน้ำตาล ทำให้สหรัฐไม่พอใจ เริ่มสั่งห้ามการนำเข้าสินค้าต่าง ๆ จากคิวบาและทำให้คิวบาต้องตกที่นั่งลำบากจากการที่ไม่สามารถระบายสินค้าได้ในสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญของคิวบาและถือเป็นอีกจุดเปลี่ยนหนึ่งที่จะเปลี่ยนจุดยืนของคิวบาไปตลอดกาล
คิวบาไม่สามารถพึ่งพาสหรัฐได้ต่อไป อีกทั้งเป็นความคิดของ Che Guevara ที่จะให้คิวบามุ่งหน้าสู่งระบอบสังคมนิยมอย่างใกล้ชิดมากขึ้นอีกทั้งยังมีตลาดในกลุ่มประเทศพี่น้องสังคมนิยมเป็นที่ระบายสินค้าจากคิวบาและความช่วยเหลือด้านต่าง ๆ Fidel จึงเริ่มสานสัมพันธ์กับสหภาพโซเวียต พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์การทูตคิวบาที่ในอดีตมีสหรัฐเป็นพี่ใหญ่กลายเป็นสหภาพโซเวียตเข้ามาแทนที่และรับซื้อน้ำตาลที่เป็นสินค้าส่งออกหลักและสินค้าอื่น ๆ จากคิวบาแทน นโยบายต่าง ๆ ของ Fidel เอาใจชาวนา กรรมกรและรากหญ้าแต่สร้างความไม่พอใจให้กับกลุ่มชนชั้นกลางนักธุรกิจ แพทย์ วิศวกร คนกลุ่มนี้จำนวนมากลี้ภัยออกไปยังฟลอริดา เกิดภาวะสมองไหลครั้งใหญ่อีกทั้งบางส่วนที่ยังอยู่ก็พยายามท้าทาย วิพากษ์วิจารณ์และต่อต้านระบอบ Castro ถึงขนาดตั้งกองกำลังติดอาวุธซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก CIA ของสหรัฐและรัฐบาลโดมินิกัน จึงเกิดการกวาดล้าง “ผู้ต่อต้านการปฏิวัติ” อย่างเด็ดขาดในที่สุดรัฐบาล Castro ก็สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ใน 6 ปี
สหรัฐไม่ได้เพียงจะพยายามทำลายเศรษฐกิจคิวบาด้วยการ Sanction หรืองดคบค้าสมาคมกับคิวบาเท่านั้น แต่ยังต้องการที่จะทำลายระบอบ Castro ลงไปด้วยไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนฝ่ายต่อต้านการปฏิวัติหรือเหตุการณ์ Bay of Pigs ในเดือนเมษายน 1961 ที่สหรัฐได้ทำการส่งกำลังพลชาวคิวบาผู้แปรพักตร์ที่ได้รับการฝึกอาวุธจาก CIA ยกพลขึ้นบกหวังจะโค่นล้มรัฐบาล Castro ด้วยกำลังแต่ล้มเหลวและทำให้สถานภาพของ Fidel กลายเป็นวีรบุรุษของชาติและวีรบุรุษของโลกผู้ยืนหยัดต่อการคุกคามของจักรวรรดินิยม สิ่งเหล่านี้ทำให้ Fidel ตัดสินใจเสริมสร้างกำลังในกองทัพ เพิ่มการซื้ออาวุธจากสหภาพโซเวียต เบลเยี่ยม อีกทั้งยังนำไปสู่การติดตั้งมิสไซล์โซเวียตในคิวบาอย่างลับๆในปี 1962 ซึ่งสหรัฐสามารถล่วงรู้และเปิดโปงแผนการนี้และเหตุการณ์นี้เกือบนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่สามเพราะสหรัฐเองก็ยืนยันอย่างชัดเจนและปิดล้อมน่านน้ำคิวบาไม่ให้เรือลำใดขนส่งอาวุธเข้าไปถึงคิวบา ส่วนโซเวียตก็ยืนยันที่จะช่วยเหลือคิวบาในการป้องกันตนเองและสองชาติก็เตรียมพร้อมขั้นสูงสุดที่จะเล่นงานอีกฝ่ายเช่นกัน แต่ในที่สุดโซเวียตก็ยอมถอย Nikita Khrusschov สั่งให้เรือกลับลำล้มเลิกแผนการณ์ดังกล่าว แลกกับคำมั่นที่สหรัฐจะถอนขีปนาวุธที่ติดตั้งอยู่ในตุรกีและอิตาลีและจะไม่รุกรานคิวบาต่อไป ทั้ง Fidel และ Che Guevara ต่างรู้สึกว่าโดนหักหลังในครั้งนี้
แม้ว่าจะผิดหวังไปบ้างแต่ Fidel ก็ยังคงกระชับความสัมพันธ์กับโซเวียตอย่างแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นด้วยเหตุที่ความผูกพันธ์ทางเศรษฐกิจของโซเวียตและคิวบามีความสำคัญมาก Fidel ยังคงไปเยือนโซเวียตอีกหลายครั้ง Fidel ได้รับอิสริยาภรณ์ขั้นสูงสุด “เลนิน” รวมถึงรับปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยมอสโก รวมไปถึงความคิดในความเป็นเลิศด้านกีฬาของคนในชาติว่าสื่อให้เห็นถึงสุขภาวะที่แข็งแรงและการอยู่ดี กินดี มีความสามารถของคนในชาตินั้น ๆ Fidel จึงให้การสนับสนุนด้านการศึกษาและการกีฬาโดยการส่งไปศึกษาและฝึกซ้อมต่อที่สหภาพโซเวียตและกลับมารับใช้และพัฒนาคิวบา
แม้ว่าในเวลาต่อมา Fidel จะตำหนินโยบายการปราบปรามการลุกฮือในเชโกสโลวาเกียของ Leonid Brezhnev ผู้นำโซเวียตคนต่อมา แต่ Fidel ก็เลือกที่จะให้ความสนใจกับการสนับสนุนการปฏิวัติในที่อื่น ๆ อาทิในแอฟริกาและอเมริกาใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสงครามเวียดนามที่ Fidel รณรงค์ให้ทั่วโลกสนับสนุนเวียดนามเหนือในการปลดปล่อยเวียดนามใต้จากจักรวรรดินิยมอเมริกามากกว่าจะมาต่อกรกับโซเวียต อีกทั้งแม้ว่า Fidel จะได้รับแรงบันดาลใจหลายๆอย่างจากแนวคิด คอมมิวนิสต์จีนของ Mao Zedong แต่คิวบาก็เลือกที่จะอยู่ข้างโซเวียตเมื่อโซเวียตและจีนแตกคอกัน ด้วยเหตุที่โซเวียตเป็นผู้สนับสนุนด้านเศรษฐกิจและความช่วยเหลือทางทหารต่อคิวบา โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิกฤตการณ์เกาะ Damansky จุดพิพาทพรมแดนโซเวียต-จีน
เมื่อ Mikhail Gorbachov ขึ้นเป็นผู้นำโซเวียตและประกาศนโยบาย Glasnost (เปิด) และ Perestroika (ปรับ) เพื่อปฏิรูปเศรษฐกิจโซเวียตที่เสื่อมโทรม สัญญาณของสงครามเย็นกำลังจะสิ้นสุดก็มาถึงเมื่อ Gorbachov ดำเนินนโยบายตอบสนองต่อโลกตะวันตกเพื่อแลกกับความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและเริ่มยุติให้ความช่วยเหลือแก่่พี่น้อมคอมมิวนิสต์รวมไปถึงคิวบา Fidel รู้สึกโดนหักหลังอีกครั้งแต่ก็ยังคงยืนหยัดที่จะยังไม่นำระบอบทุนนิยมเข้ามาปฏิรูปเศรษฐกิจของคิวบา
หลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียตและโลกคอมมิวนิสต์ มีเพียงคิวบาและเกาหลีเหนือเท่านั้นที่ยังคงไม่รับระบอบทุนนิยมมาปฏิรูปเศรษฐกิจ (ประเทศคอมมิวนิสต์อื่นเช่น จีน เวียดนาม ลาว ต่างใช้ระบอบทุนนิยมเข้ามาปฏิรูป) เศรษฐกิจคิวบาเข้าสู่ช่วงภาวะถดถอยถึงขีดสุด GDP ตกฮวบกว่าร้อยละ 40 Fidel จึงประกาศว่าเป็นช่วงเวลาแห่งสถานการณ์พิเศษและสันติภาพ เขายุติการให้การสนับสนุนต่อขบวนการปฏิวัติในที่ต่าง ๆ และหันมาสนับสนุนนโยบายให้คิวบาประหยัดด้วยความจำเป็น อาทิ การนำเข้าจักรยานจากจีนแทนการใช้รถยนต์ การใช้วัวแทนรถแทร็กเตอร์ การใช้ฟืนแทนการใช้ไฟฟ้า เป็นต้น ในที่สุดสถานการณ์เริ่มดีขึ้นเมื่อรัฐบาล Fidel ปฏิรูปเศรษฐกิจด้วยธุรกิจไบโอเทคโนโลยี (การผลิตวัคซีนต่าง ๆ ) และการท่องเที่ยวทำให้คิวบาไม่ต้องพึ่งพาเพียงแต่การส่งออกสินค้าเกษตรอย่างน้ำตาลอย่างเดียวอีกต่อไป
ในช่วงทศวรรษท้ายของการเป็นผู้นำคิวบา Fidel เริ่มนโยบาย Pink Tide มีปฏิสัมพันธ์ใกล้ชิดมากขึ้นกับประเทศในภูมิภาคลาตินอเมริกาและแคริบเบียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้นำที่ต่อต้านอเมริกาอย่าง Hugo Chavez แห่งเวเนซูเอลาและ Evo Morales แห่งโบลิเวีย แต่ก็เป็นอีกช่วงที่คิวบาและสหรัฐเริ่มหันหน้าเข้าหากันมากขึ้นจากเหตุการณ์พายุเฮอร์ริเคนมิเชลที่สหรัฐฯเสนอความความช่วยเหลือด้านการเงินแต่ Fidel ปฏิเสธและขอซื้ออาหารจากสหรัฐแทน และเหตุการณ์วินาศกรรม 11 กันยายน 2001 ซึ่ง Fidel ประนามกลุ่ม Al Qaedaและเสนอให้สหรัฐฯสามารถใช้สนามบินของคิวบาได้หากจำเป็น ถือเป็นสัญญาณเริ่มที่ดีของความสัมพันธ์ทั้งสองชาติ
ด้วยปัญหาสุขภาพจากวัยที่เพิ่มขึ้นและไม่เอื้อต่อการทำรับใช้ชาติต่อไป Fidel จึงประกาศอำลาตำแหน่งผู้นำคิวบาอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์ 2008 และสนับสนุนให้ Raul Castro น้องชายผู้ที่ร่วมการปฏิวัติกันมาขึ้นดำรงตำแหน่งแทน โดย Fidel จะเป็นผู้ที่คอยให้คำแนะนำในเรื่องต่าง ๆ รวมไปถึงศูนย์รวมของชาติต่อไป
และแล้วในวันที่ 25 พฤศจิกายน 2016 Fidel ก็ถึงแก่อสัญกรรมอย่างสงบ ปิดฉากชีวิตผู้นำที่โลดโผนและยืนหยัดพร้อมทั้งคำสั่งเด็ดขาดห้ามนำชื่อเขาไปตั้งชื่อสถานที่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นถนน ย่าน หรือจัตุรัสใดที่จะเป็นการสนับสนุนลัทธิบูชาบุคคล (Cult of personality)
เอร์เนสโต เช เกบารา (Ernesto Che Guevara)
“เมื่อใดเห็นความอยุติธรรมเกิดขึ้นต่อหน้า แล้วคุณตัวสั่นด้วยความโกรธ เมื่อนั้นเราก็เป็นเพื่อนกันได้ สิ่งนี้มีค่ายิ่งกว่าความเป็นญาต”
วลีอมตะของวีรบุรุษนามว่า เช เกบารา นักปฏิวัติชาวอาร์เจนตินาผู้เป็นสัญลักษณ์การต่อสู้กับความอยุติธรรม รวมไปถึงเป็น Icon ที่ไม่มีนัยยะทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องดังเช่นสติ๊กเกอร์ที่ติดตามรถสิบล้อ รถบรรทุก พวกกุญแจ โปสเตอร์และอื่นๆ
เช เกบาราเกิดในวันที่ 14 มิ.ย. 1928 ถ้าเชยังมีชีวิตอยู่จนวันนี้ จะมีอายุ 90 ปีพอดี ในครอบครัวชนชั้นกลางในอาร์เจนตินา จบการศึกษาแพทยศาสตร์และได้มีโอกาสเดินทางไปตามชนบททั่วอเมริกาใต้ด้วยมอเตอร์ไซค์กับเพื่อนสนิท Alberto Granado ผู้ที่บันทึกการเดินทางของเชตลอดเส้นทางและพบกับสภาพความแร้นแค้นของคนชายขอบสังคม นั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการอุทิศตนเพื่อการต่อสู้เพื่อความยุติธรรมของเช
จุดเปลี่ยนความเชื่อของเชที่ว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทำได้ด้วยการปฏิวัติเท่านั้นเกิดขึ้นในปี 1953 เมื่อมาถึงกัวเตมาลาที่ได้รับฉายาว่าสาธารณรัฐกล้วยหอม (Banana Republic) อันสื่อถึงนายทุนใหญ่จากอเมริกาอย่างบริษัทยูไนเต็ดฟรุทส์ (United Fruits) สามารถเข้าจัดการปลูกและส่งออกกล้วยหอมอย่างผูกขาดอีกทั้งยังสามารถควมคุมรัฐบาลของ “Banana Republic” ราวกับมีอำนาจอธิปไตยเหนือรัฐเหล่านี้ได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเพียงบริษัทเดียวของอเมริกา
เชมาพบกับฟิเดลและราอูล คาสโตร สองพี่น้องนักปฏิวัติที่เพิ่งพ่ายแพ้ต่อรัฐบาลเผด็จการของจอมพลบาติสตาแห่งคิวบาที่เป็นลูกไล่ของอเมริกาและถูกเนรเทศมายังเม็กซิโก และเริ่มจัดตั้งขบวนการ 26 July กลับเข้าไปต่อสู้กับระบอบบาติสตาอีกครั้งหนึ่ง
คิวบาในยุครัฐบาลบาติสตาได้รับการสนับสนุนจากกลุ่มทุนและมาเฟียจากอเมริกาด้วยเหตุที่คิวบาอยู่ห่างจากฟลอริดาเพียง 144 กม. เท่านั้นจึงสร้างความมั่งคั่งให้กับบาติสตามหาศาลจากการฉ้อราษฎร์บังหลวง จนกระทั่งฟิเดล คาสโตร นักกฎหมายหนุ่มไฟแรงพร้อมด้วยราอูล คาสโตรน้องชายรวบรวมสมาชิกจัดตั้งเป็นกองกำลังติดอาวุธปลุกเร้าประชาชนคิวบาให้โค่นล้มระบอบบาติสตา แม้จะพ่ายแพ้ ถูกจำคุกและเนรเทศไปเม็กซิโก แต่คราวนี้พวกเขาจะกลับมาใหม่พร้อมกับสหายใหม่นามว่าเช
คราวนี้มาในฐานะกองกำลังขบวนการ 26 July ด้วยกองกำลัง 85 คนและได้ทำสงครามกองโจรและได้สมัครพรรคพวกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งสมรภูมิสุดท้ายที่ Santa Clara ที่บาติสตาส่งขบวนรถไฟหุ้มเกราะหมายจะตัดกำลังกองกำลังหลักที่เชบัญชาการอยู่ แต่เชทราบแผนการและวางกับเักให้รถไฟตกราง ทหารฝ่ายรัฐบาลบาติสตาพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ครบมือต้องเพลี้ยงพล้ำเสียทีแก่เชและยอมแพ้ในที่สุด เป็นการเปิดทางให้กองทหารขบวนการ 26 July ยาตราทัพเข้าสู่กรุงฮาวานาและสถาปนารัฐบาลและระบอบใหม่
เชกลายเป็นหนึ่งในคณะผู้บริหารประเทศชุดใหม่ โดยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีอุตสากรรมและผู้ว่าการธนาคารแห่งชาติดูแลเรื่องปฏิรูปที่ดินและแปรสภาพธุรกิจเอกชนทั้งหมดซึ่งส่วนใหญ่เป็นของนายทุนอเมริกันให้รวมไปถึงการเกษตรและการเงินกลายเป็นสินทรัพย์ของรัฐบาล (Nationalization) นอกจากนี้ยังเป็นผู้บัญชาการกองทัพคิวบาในระบอบใหม่และเป็นผู้กำหนดนโยบายต่างประเทศให้เข้าหาสหภาพโซเวียต โดยเฉพาะการนำพาให้สหภาพโซเวียตนำขีปนาวุธเข้ามาติดตั้งยังคิวบาและยังเป็นตัวแทนทางการทูตของคิวบาในการเยือนประเทศต่างๆและเผยแพร่แนวคิดการปฏิวัติและโค่นล้มระบอบจักรวรรดินิยมอเมริกัน
แม้ว่าเชจะได้รับการยกย่องเป็นวีรบุรุษการต่อสู้กับความอยุติธรรมทางสังคม เชเองก็ยอมรับว่าเป็นฆาตกรผู้สังอาจคนที่อาจเป็นผู้บริสุทธิ์ในช่วงสถาปนาระบอบใหม่เช่นกัน ในระหว่างที่เชเป็นผู้บัญชาการเรือนจำ La Cabana เชยอมรับว่ารัฐบาล(ใหม่)จับคนมายิงเป้าเป็นจำนวนมากโดยไม่ทราบว่าพวกเขาทำผิดจริงหรือไม่ เพราะในเวลานั้นฝ่ายปฏิวัติไม่มีเวลามาหยุดทำการสอบสวนอะไรมากมาย ภารกิจที่สำคัญคือการกุมชัยชนะ
ในปี 1965 เชสละสัญชาติคิวบาและหายหน้าหายตาไปจากสื่อเพื่อไปทำตามความฝันนั่นคือการช่วยเหลือกองกำลังของผู้คนชายขอบของสังคมต่อสู้กับความอยุติธรรมในภูมิภาคต่างๆ เช่น คองโก และโบลิเวียซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ และในปี 1967 ก็กลายเป็นจุดจบของเชเมื่อกองกำลังของเชเพลี่ยงพล้ำต่อทหารฝ่ายรัฐบาลโบลิเวียซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลอเมริกันและ CIA จนถูกจับได้และถูกประหารชีวิตโดยการยิงเป้าโดยถูกยิงถึง 9 นัด เข้าที่บริเวณหน้าอก 1 นัด ลำคอ 1 นัด ไหล่ขวาและแขนขวาอย่างละ 1 นัด และที่ขาอีก 5 นัดและนำไปฝั่งในชนบทที่ห่างไกลไม่ให้ร่างของเชกลายเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของสาวกการปฏิวัติ ปิดตำนานนักปฏิวัติแห่งลาตินอเมริกา
30 ปีต่อมาในปี 1995 นายพล Mario Vargas นายพลเกษียณอายุราชการเปิดเผยต่อ Jon Lee Anderson ผู้แต่งหนังสือ Che Guevara : A Revolutionary Life ว่าร่างของเชถูกฝังไว้ใกล้ๆฐานทัพอากาศ Vallegrande นำไปสู่การค้นหาของนักธรณีวิทยาคิวบาและนักมานุษยวิทยาทางนิติวิทยาศาสตร์อาร์เจนตินา ในที่สุดในวันที่ 17 ตุลาคม 1997 ชิ้นส่วนที่เหลืออยู่ของเชก็กลับสู่แผ่นดินคิวบาและบรรจุลงในสุสานเช เกบารา (Mausoleum of Che Guevara) ณ เมืองซานตา คลาร่า สมรภูมิใหญ่ที่เชได้ฝากชื่อไว้ให้กับกองทัพปฏิวัติคิวบา
ราอูล คาสโตร (Raul Castro)
ชื่อเต็มคือ Raul Modesto Castro Ruz เป็นน้องชายแท้ ๆ ของ Fidel Castro มีชีวิตในวัยเด็กเฉกเช่นเดียวกับ Fidel และยังเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาวานา รวมทั้งร่วมกันต่อสู้กับอันธพาลการเมืองในมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน Raul เริ่มชีวิตการเมืองด้วยการเข้าร่วมเป็นยุวชนสังคมนิยมของพรรคคอมมิวนิสต์คิวบาที่ได้รับการสนับสนุนโดยสหภาพโซเวียตและได้เดินทางในไปประเทศคอมมิวนิสต์ต่าง ๆ ทำให้มีโอกาสได้พบกับ Nikolai Leonov เจ้าหน้าที่หน่วยสืบราชการลับ KGB ประจำสถานทูตโซเวียตในเม็กซิโก ผู้ที่จะกลายเป็นตัวเชื่อมระหว่างผู้นำระดับสูงของโซเวียตกับตัวเขาเอง Che Guevara และ Fidel ในเวลาต่อมาRaul ได้ตาม Fidel ลี้ภัยไปอยู่เม็กซิโกและได้ทำความรู้จักกับนายแพทย์อุมการณ์แรงกล้า Ernesto Che Guevara และได้แนะนำให้ Che รู้จักกับ Fidel และ Leonov และยังเป็น 1 ใน 12 คนผู้รอดชีวิต จากทั้งหมด 82 คนจากการพายซากเรือยอชต์ Granma จากเม็กซิโกยกพลขึ้นบกเพื่อเริ่มทำสงครามกองโจรโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการทหาร Batista Raul เป็นผู้ที่สั่งให้ลักพาตัวคนสัญชาติอเมริกันเพื่อสร้างข่าวในสังคมอเมริกันและทั่วโลกให้ตระหนักถึงขบวนการ 26 กรกฎาคมและให้ฝ่าย Batista ยุติการทิ้งระเบิดฐานที่มั่นฝ่ายปฏิวัติ เมื่อได้ตามที่ต้องการ Raul ก็สั่งให้ปล่อยตัวประกันและตัวประกันเองก็เป็นกระบอกเสียงให้กับคณะปฏิวัติเนื่องจากตัวประกันให้สัมภาษณ์กับสื่อว่าได้รับการปฏิบัติอย่างดีที่สุดจากฝ่ายปฏิวัติ สร้างความชอบธรรมให้กับฝ่ายปฏิวัติมากขึ้นRaul กับพี่ชายในการนำชัยชนะมาสู่ฝ่ายปฏิวัติ เมื่อปฏิวัติสำเร็จในวันที่ 1 มกราคม 1959 Raul ได้กลายเป็นมือขวาทางการเมืองของ Fidel และ เขาได้กลายเป็นรองเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ ผู้นำประเทศอันดับสองเรื่อยมาในปี 2006 ด้วยปัญหาสุขภาพของ Fidel Fidel เริ่มถ่ายโอนอำนาจให้กับ Raul จนในปี 2008 Fidel อำลาตำแหน่งผู้นำคิวบาอย่างเป็นทางการ เปิดทางให้ Raul ขึ้นมาเป็นผู้นำคิวบาคนที่ 2 ในระบอบคอมมิวนิสต์แม้จะโดนครหาว่าเป็นการสืบทอดอำนาจทางสายเลือดแต่ก็ต้องยอมรับว่าทั้ง Fidel และ Raul ต่างก็ต่อสู้เพื่อการปฏิวัติมาด้วยกันตั้งแต่ต้นทันทีที่ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในปี 2008 Raul ได้ประกาศนโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ ยกเลิกข้อห้ามต่าง ๆ ที่เคยมีสมัย Fidel อาทิ การอนุญาตให้เกษตรกรนำผลผลิตส่วนที่เหลือมาค้าขายเอากำไรได้ หรือ ข้อบังคับว่าด้วยเงินเดือนที่ในยุคของ Raul ใครขยันมากก็จะได้ค่าตอบแทนมากขึ้นรวมไปถึงสินค้าควบคุมต่าง ๆ เช่น เครื่องเล่น CD / DVD หม้อหุงข้าว เตาไมโครเวฟ คอมพิวเตอร์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มแรงจูงใจในการผลิตสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด ลดการแทรกแซงจากภาครัฐลงไป ส่วนด้านการเมือง Raul ริเริ่มให้มีการจำกัดวาระการดำรงตำแหน่งของผู้นำเหลือเพียงวาระละ 5 ปี จากเดิมที่ไม่จำกัดRaul ยังเป็นผู้ปฏิรูปนโยบายต่างประเทศคนสำคัญ เห็นได้ชัดจากการรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการทูตกับสหรัฐอเมริกา ศัตรูคู่อาฆาตกันมากว่า 50 ปี ทั้ง Barrack Obama และ Raul Castro บรรลุข้อตกลงฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตอีกครั้งในวันที่ 20 กรกฎาคม 2015 และ Obama ก็มาเยือนคิวบาอย่างเป็นทางการครั้งแรกและเป็นผู้นำสหรัฐคนแรกที่เหยียบแผ่นดินคิวบาหลังจากที่คิวบาเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2018 Raul ได้ก้าวลงจากตำแหน่งประธานาธิบดีคิวบาเปิดทางให้ Miguel Diaz-Canel ผู้ที่เป็นรองประธานาธิบดีและได้รับการเลือกตั้งโดยสภาก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีแทน ซึ่งเป็นผู้นำคนแรกที่เกิดหลังการปฏิวัติ โดย Raul ยังคงดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรคคอมมิวนิสต์ซึ่งถือเป็นตำแหน่งที่มีอำนาจมากที่สุดอยู่และเป็นที่ปรึกษาให้กับผู้นำคนใหม่
ไมเยอร์ แลนสกี้ (Myer Lansky)
เจ้าพ่อมาเฟียยิวแห่งวงการการพนัน ผู้บุกเบิกอาณาจักรคาสิโนในลาส เวกัส ชื่อเดิมคือ Meier Suchowlansky มีพื้นเพเดิมมาจากชาวโปล-ยิวในเมือง Grodno ในแคว้นโปแลนด์ของจักรวรรดิรัสเซีย (ปัจจุบันคือเมืองชายแดนของเบลารุส) อพยพหนีนโยบายกีดกันชาวยิวผ่านท่าเรือโอเดสซ่าไปลงหลักปักฐานใหม่พร้อมครอบครัวที่นิวยอร์ค ช่วงวัยรุ่นได้ผูกมิตรกับบรรดาผู้ที่จะกลายมาเป็นเจ้าพ่อแห่งยุคสมัยอย่าง Bugsy Siegel ในช่วงยังหากินกับการขนเหล้าเถื่อน และ Lucky Luciano ที่ประทับใจการขู่กรรโชคของ Lansky แม้อายุน้อยกว่าซึ่งต่อมาก็สานมิตรภาพกัน โดย Lansky ได้ช่วยกำจัด Joe Masseria และ Salvatore Maranzano ให้พ้นทางทำให้ Lucky Luciano ก้าวขึ้นเป็นเจ้าพ่อแทน หลังสงครามโลกครั้งที่สอง Lansky ได้เริ่มมีบทบาทมากขึ้นในแวดวงธุรกิจผิดกฎหมายในคิวบาหลังการประชุมใหญ่ของบรรดามาเฟียระดับโลก อีกทั้งเหมือนส้มหล่นที่ Luciano ต้องโดนอัปเปหิไปจากคิวบาหลังทำผิดข้อตกลงการอภัยโทษจากรัฐบาลสหรัฐ บรรดาธุรกิจเหล่านั้นจึงตกมาอยู่ในความดูแลของ Lansky โดยปริยายLansky มีอิทธิพลในคิวบามากถึงขนาดที่สามารถติดสินบนประธานาธิบดี Carlos Socarras เพื่อให้ลงจากตำแหน่งหลีกทางให้นายพล Fulgencio Batista ขึ้นเถลิงอำนาจแทน แต่ในที่สุดเมื่อนายพล Batista ทำรัฐประหารยึดอำนาจสำเร็จ Batista ก็ได้แต่งตั้งให้ Lansky เป็นรัฐมนตรีด้านการพนัน(ลับ)และออกนโยบายสนับสนุนนักธุรกิจเหล่านี้อย่างเต็มที่ ทั้งยกเว้นภาษีธุรกิจและอุปกรณ์นำเข้า 10 ปีและการละเว้นการตรวจสอบเบื้องหลังของผู้ประกอบการ เป็นต้น โดยที่ Batista เองก็ได้รับผลประโยชน์หลังบ้านจากกลุ่มคนเหล่านี้เช่นกัน ส่วน Jacob Lansky น้องชายของ Myer Lansky ก็ดูแลธุรกิจโรงแรม Nacional ด้วยเช่นกัน
เครือข่ายธุรกิจสีเทาของ Lansky ในคิวบานับเป็นแหล่งรายได้หลักอีกแห่งหนึ่ง แต่ทุกอย่างก็พังทลายลงเมื่อพี่น้องตระกูลคาสโตรและเช เกวาร่าปฏิวัติคิวบาและสำเร็จในวันที่ 1 ม.ค. 1959 โดยรัฐบาลใหม่ทำการยึดทรัพย์สินธุรกิจต่าง ๆ เข้าเป็นกรรมสิทธิ์ของรัฐและประกาศให้การพนันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย Lansky ต้องลี้ภัยไปยังหมู่เกาะบาฮามาสและเกาะแคริบเบียนอื่นๆ และต้องสูญรายได้กว่า 7 ล้านเหรียญสหรัฐรวมถึงผลกระทบต่อธุรกิจในไมอามี ในภายหลัง Lansky ขอลี้ภัยไปยังอิสราเอลซึ่งเปิดโอกาสให้ชาวยิวทั่วโลกอพยพไปตั้งถื่นฐานได้ แต่สองปีให้หลังก็โดนเนรเทศกลับสหรัฐ เนื่องจากมีภูมิหลังเกี่ยวข้องกับอาชญากรรม และใช้ชีวิตบั้นปลายที่ไมอามี
เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับบุรุษผู็มีบทบาทสำคัญในทุกด้านของคิวบา หากท่านใดมีโอกาศตามรอยที่คิวบา ก็สามารถมาพูดคุยกันได้ที่Facebook นะครับ