7 Types of Tribal Tents Around the World
สำรวจ 7 เต็นท์ชนเผ่าสุดอิสระ นอนกลางดิน กินกลางดาว

ในอดีตนั้นเต็นท์หรือกระโจมถูกใช้เป็นที่พักหลักของชนเผ่าเร่ร่อนต่างๆ ที่กระจายตัวอยู่ทั่วโลก เช่น ชนพื้นเมืองชาวอเมริกัน(Native American) ชาวเร่ร่อนในมองโกเลีย(Mongolia Nomad) ชาวเร่ร่อนในทิเบต(Tibet Nomad) ชาวอินุย(Inuit) ชาวเบดูอิน(Bedouin) และชาวซามิ(Sami) เต็นท์แบบดั้งเดิมนั้นจึงมีรูปแบบและใช้วัสดุแตกต่างกันไป ตามการใช้งานและสภาพแวดล้อมที่ชนเผ่านั้นๆ อยู่อาศัย

เราจึงอยากชวนคุณไปชมเต็นท์ชนเผ่าแบบต่างๆ ที่นอกจากจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์สำคัญแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นวิถีชีวิตของชาวพื้นเมืองเผ่าเร่ร่อนในอดีตอีกด้วย (ซึ่งบางส่วนยังถูกใช้งานจริงมาถึงบัจจุบัน!!!) หากคุณมีความรู้เกี่ยวกับเต็นท์ชนเผ่านอกเหนือจากในบทความนี้ อย่าลืมแบ่งปันข้อมูลกับเพื่อนๆ นักเดินทางได้ที่ Facebook ของเรานะคะ


โนเมดิคเต็นท์(Nomadic Tents) หรือ เต็นท์ชาวเร่ร่อนในทิเบต(Tibet Nomad) เป็นที่อยู่อาศัยที่สำคัญของคนเร่ร่อนในเขตภูเขาของเอเชียกลาง เห็นได้มากในประเทศทิเบต(Tibet) มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ด้านบนของเต็นท์มีช่องเปิดขนาดใหญ่ที่ใช้ในการระบายอากาศและควัน มักทำจากเสาไม้ 8 ถึง 12 เสา และใช้เส้นด้ายปั่นมือจากขนจามรี(Yak) มาทอเป็นตัวเต็นท์ จึงใช้เวลานานประมาณหนึ่งปีในการทำโนมาดิคเต็นท์ขนาดกลาง 1 หลัง

เนื่องจากชนเผ่าเร่ร่อนนั้นมักจะยากจนมาก จึงทำให้พวกเขามีข้าวของส่วนตัวน้อย แต่สิ่งที่น่าสนใจคือเกือบทุกเต็นท์จะมีรูปภาพของลามะท้องถิ่น, องค์ดาไลลามะที่ 14 และผ้าทังก้า(Thangka) หรือ ผ้าพระบฏ คือภาพวาดบนผืนผ้าไหมเป็นรูปเกี่ยวกับความเชื่อของพุทธศาสนาวัชรยานห้อยอยู่ด้านในเต็นท์ด้วย

หลายปีที่ผ่านมาทางการจีนได้โยกย้ายชนเผ่าเร่ร่อนชาวทิเบตจำนวนมาก ออกจากเขตเทือกเขาสูง มาตั้งรกรากใหม่เป็นชุมชนถาวร และบางส่วนก็ย้ายไปอาศัยอยู่ในบ้านดินเหนียวมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ในโนมาดิคเต็นท์ทอมือแบบดั้งเดิมมีจำนวนลดลงอย่างรวดเร็ว


เบทอัลชาร์(Beit Al-Sha’ar) เป็นที่รู้จักในชื่อเบดูอินเต็นท์(Bedouin Tent) ที่พักอาศัยของของชาวเบดูอิน(Bedouin) หรือ Bedu กลุ่มคนเร่ร่อนชาวอาหรับที่อยู่ในเขตทะเลทรายของแอฟริกาเหนือ(North Africa) คาบสมุทรอาหรับ(Arabian Peninsula) อิรัก(Iraq) และลิแวนต์(the Levant)

เบทอัลชาร์เป็นเต็นท์ทรงสีเหลี่ยมผืนผ้ามีความสูงไม่มาก อาศัยอยู่ 1 ครอบครัวเล็กต่อ 1 เต็นท์ สามารถเปิดด้านหนึ่งของเต็นท์เป็นพื้นที่สำหรับนั่งเล่น ดื่มชา และรับแขก เรียกว่า มาคฮาด(Makhad) เคยเป็นที่นิยมเนื่องจากเหมาะกับสภาพแวดล้อมที่เป็นทะเลทราย เนื่องจากใช้เสาไม้จำนวนน้อย แล้วคลุมด้วยผ้าขนแพะผีมือการทอของผู้หญิงภายในครอบครัว ทำให้สามารถถอดประกอบและพกพาง่าย แต่จำนวนเสาที่เพิ่มขึ้นและคุณภาพของผ้าทอก็เป็นสิ่งที่แสดงถึงความมั่งคั่งและฐานะทางสังคมของครอบครัวเจ้าของเต็นท์ ด้วย

ปัจจุบันชาวเบดูอินจำนวนมากได้ละทิ้งวัฒนธรรมชนเผ่าเร่ร่อนเพื่อไปใช้ชีวิตในเมืองอันทันสมัย แต่ก็มีชาวเผ่าจำนวนหนึ่งที่ยังคงรักษาวัฒนธรรมดั้งเดิมไว้ แต่ไม่ได้ย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ เหมือนเมื่อก่อน เนื่อจากความแห้งแล้งและจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงมีการรวมกลุ่มกัน เป็นกลุ่มเต็นท์ขนาดใหญ่ แล้วพัฒนาให้ประเพณีการขี่อูฐและตั้งแคมป์ในทะเลทรายกลายเป็นกิจกรรมการท่องเที่ยวยอดนิยม


ทีพี(Teepee) หรือ Tipi หรือ Tepee ถือเป็นเต็นท์แบบดั้งเดิมที่เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยเต็นท์ทรงกรวยนี้มีโครงสร้างที่เรียบง่ายซึ่งประกอบด้วยหนังสัตว์และเสาไม้เท่านั้น(ทีพีสมัยใหม่จะใช้ผ้าใบแทนหนังสัตว์) แต่คงทน ให้ความอบอุ่นในฤดูหนาว เย็นในฤดูร้อน และแห้งง่ายในช่วงฝนตกหนัก จึงเหมาะจะเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าที่ย้ายถิ่นฐานบ่อยครั้งอย่างชนเผ่าพื้นเมืองบนที่ราบเกรตเพลนส์(Great Plains) และทุ่งหญ้าแพรรี(Prairies) ทางตอนกลางของทวีปอเมริกาเหนือ(North America) หรือที่รู้จักในชื่อ ชาวอินเดียนแดง(Red Indian) นั้นเอง

สามารถถอดง่าย เคลื่อนย้ายสะดวก และประกอบใหม่ได้อย่างรวดเร็ว มีเอกลัษณ์คือการเปิดช่องอากาศที่ส่วนบนของเต็นท์เพื่อให้ควันสามารถระบายออกได้ ปัจจุบันยังมีการใช้งานอยู่เพื่อวัตถุประสงค์ในทางพิธีกรรม


วิกแวม(Wigwam) หรือ Wickiup หรือ Wetu เป็นกระโจมบ้านกึ่งถาวรที่มีลักษณะเป็นโดมขนาดค่อนข้างเล็ก เป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าพื้นเมืองทางตะวันออกของอเมริกา(Indigenous People of the Eastern Americas) ในอดีต

วิกแวมไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ถอดชิ้นส่วนแล้วเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่ใหม่ได้เหมือนเต็นท์ขนาดเล็กอื่นๆ แต่มีข้อดีคือสามารถสร้างได้ง่ายด้วยวัสดุที่หลากหลาย โดยมีโครงสร้างไม้เป็นหลัก แล้วใช้วัสดุอื่นๆ มุง เช่น หญ้า เปลือกไม้ เสื่อ กก หรือผ้า อาจมีบางคนที่สับสนกับ ทีพี(Teepee) ซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของชนเผ่าพื้นเมืองอเมริกันเช่นเดียวกัน แต่มีรูปแบบการสร้างและการใช้งานที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง


ลาฟฟู(Lavvu) ที่พักอาศัยชั่วคราวของชาวซามิ(Sami) ชนเผ่าในแถบสแกนดิเนเวียตอนเหนือ(North Scandinavia) ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ทางตอนเหนือของนอร์เวย์(Norway) สวีเดน(Sweden) ฟินแลนด์(Finland) และเมอร์มานสค์ของรัสเซีย(Murmansk Oblast of Russia)

ลาฟฟูมีการออกแบบที่คล้ายกับทีพี(Teepee) ของชาวพื้นเมืองอเมริกัน คือเป็นเต็นท์ทรงกรวยที่สร้างด้วยเสาไม้ ห่อด้วยหนังสัตว์ และสามารถถอดประกอบได้ แต่แตกต่างกันตรงที่มีความสูงน้อยกว่า กว้างกว่า และมีรายละเอียดการประกอบที่แตกต่างกัน ทำให้มีความมั่นคงท่ามกลางลมแรงของที่ราบตอนเหนือ

นอกจากลูฟฟาแล้ว ชาวซามิยังมีที่พักอาศัยชั่วคราวอีกชนิดหนึ่ง ที่คงทนถาวรกว่า เรียกว่า โกห์ติ(Goahti) ที่ทำจากท่อนไม้เล็กๆ จำนวนมากมารวมกันเป็นกระโจมแล้วโบกทับด้วยดินเหนียว หรือ หญ้าและใบไม้ที่หาได้จากบริเวณโดยรอบเพื่ออำพรางอีกด้ว


ทูพิค(Tupiq) เป็นเต็นท์แบบดั้งเดิมของชาวอินุย(Inuit) หนึ่งในชนเผ่าเอสกิโม(Eskimo) ที่ทำจากหนังแมวน้ำแมวน้ำเครา(Bearded Seal) หรือกวางคาริบู(Caribou) ถูกใช้สำหรับพักอาศัยบนพื้นดินช่วงฤดูร้อนหรือพื้นที่ที่ไม่ได้อยู่ในทะเลน้ำแข็ง เป็นเต็นท์แบบถอดประกอบพกพาสำหรับการเดินทางได้ และมีอายุการใช้งานหลายปี

ชาวอินุยต้องฆ่าสิงโตทะเลหรือแมวน้ำขนาดใหญ่ 5 -10 ตัว เพื่อสร้างทูพิค 1 หลัง หากชายคนหนึ่งไปล่าสัตว์ก็จะนำทูพิคเล็กที่ทำจากแมวน้ำ 5 ตัว ไปด้วย ส่วนทูพิคสำหรับครอบครัวจะทำจากแมวน้ำ 10 ตัว หรือมากกว่า

ในฤดูใบไม้ร่วงที่มีอากาศหนาวเย็นขึ้นชาวอินุยจะย้ายไปอยู่ที่บ้านหินคามมาค(qammaq) แล้วใช้ทูพิคเป็นหลังคา ส่วนในฤดูหนาวชาวอินุยก็จะย้ายไปอาศัยอยู่ในโดมน้ำแข็งอิกลู(Igloo) โดยสร้างจากหิมะที่อัดตัวแน่น จากนั้นในฤดูใบไม้ผลิเมื่ออิกลูละลายพวกเขาย้ายกลับมาอาศัยในทูพิค

ทูพิคมีความสำคัญตามธรรมเนียม แต่ไม่ค่อยมีคนใช้ในยุคปัจจุบัน ทุกวันนี้ชาวเอสกิโมใช้เต็นท์ผ้าใบที่เรียกว่าทูพิคฮาค(Tupikhaq)


เกอร์(Ger) เป็นภาษามองโกเลีย(Mongolia) แปลว่า บ้าน หรือเรียกอีกอย่างว่า เยิท์ส(Yurts) ในภาษาเตอร์กิก(Turkic) เป็นเต็นท์ฐานกลมที่มีหลังคาทรงกรวยเตี้ย สามารถถอดประกอบได้โดยไม่ใช้ตะปูเพื่อให้สามารถย้ายถิ่นฐานได้สะดวก ในอดีตใช้เป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มเร่ร่อนที่แตกต่างกันหลายกลุ่มในเขตทุ่งหญ้าสเตปป์ของเอเชียกลาง(Eurasian Steppe) ก่อนที่ส่วนใหญ่จะมารวมกันเป็นประเทศมองโกเลีย

โครงสร้างของเกอร์ประกอบด้วย ผนังที่เกิดจากการสานไม้หรือไม้ไผ่, กรอบประตู และโครงหลังคา แต่ในเกอร์ขนาดใหญ่อาจจะต้องมีเสาภายในเพื่อรองรับยอดหลังคาที่มีลักษณะเป็นวงล้อด้วย ถือเป็นโครงสร้างที่ซับซ้อนและชาญฉลาดที่สุดในบรรดาเต็นท์แบบดั้งเดิมเพราะสามารถรองรับน้ำหนักได้ด้วยแรงต้านกันของโครงสร้างผนังและหลังคา แล้วคลุมด้วยหนังสัตว์หรือผ้าสักหลาดขนสัตว์ เกอร์สำหรับครอบครัวนั้นใช้เวลาในการถอดประกอบเพียง 3 ชั่วโมงเท่านั้น

จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมในปัจจุบัน เกอร์ในมองโกเลียยังคงถูกใช้เป็นที่พักอาศัยหลักของชนเผ่าเร่ร่อนอยู่ โดยมีการสร้างด้วยวัสดุที่ทันสมัยยิ่งขึ้น เช่น ผ้าใบกันน้ำ ฉนวนกันความร้อน หรืออาจนำไม้เนื้อดี มาอบไอน้ำให้สามารถโค้งงอให้มีรูปทรงสวยงามตามต้องการ

บางครอบครัวในมองโกเลียใช้เกอร์เป็นบ้านพักตากอากาศ หรือบางครอบครัวก็สร้างเกอร์ขึ้นบนฐานไม้ ฐานหิน เพื่อความคงทนถาวร แล้วใช้อยู่อาศัยได้เป็นสิบๆ ปีเลยที่เดียว


วันที่

17-07-2019

หมวดหมู่

,

เรื่องโดย

@worldexplorer